…ครั้งหนึ่ง ที่พม่า…

(เรื่องเล่าเมื่อมกราคม 2552)

เมื่อปีใหม่ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปเที่ยวพม่า หลังจากที่ร่ำๆว่าจะไปมาหลายทีละ เพราะมีแรงบันดาลใจมาจากรูปสวยๆ ของสะพานไม้อูเบ็ง ที่มัณฑะเลย์ หรือทุ่งเจดีย์ยามพระอาทิตย์ขึ้น และตกที่พุกาม

คราวนี้เราเดินทางกัน 4 คนด้วยสายการบิน Air Asia ด้วยความที่เชื่อว่าจองล่วงหน้านานๆ จะถูกกว่ามาจองเอาใกล้ๆ เดินทาง แต่…แป่ววววว…..หลังจากจองไปได้ไม่นาน ราคาตั๋วก็ลง ๆๆๆ (แล้วก็โรคจิตด้วยนะ จองแล้วเราก็ยังจะเข้าไปดูอีกว่าเราจองได้ถูกมั้ย เลยพบกับความจริงให้เจ็บใจเล่น)

ได้ตั๋วแล้วก็วางแผนเดินทาง จองโรงแรม จองรถ ก็หาข้อมูลด้วยการอ่านทุกกระทู้เรื่องพม่า ซื้อหนังสือพม่ามาอ่านเกือบทุกเล่มที่มีขาย ณ ตอนนั้น และไปรื้อนิตยสารท่องเที่ยวที่มีเรื่องพม่าทุกเล่มมากอง อ่านเหมือนจะเตรียมสอบเลยอ่ะค่ะ แล้วชื่อเจดีย์แต่ละที่ก็จำยากมากๆเลย ชเวดากอง ชเวมอดอ ชเวซิกอง ชเวซานดอ ชเวนันดอ โห..เยอะอ่ะ เง็ง

เราจองโรงแรมผ่านทาง internet ก็หาๆดูว่าที่ไหนให้ราคาดีก็จองกับ web นั้น เลยจองจากหลากหลาย agent มาก ส่วนรถเช่าก็หาเอาจาก Agent ของพม่า (หลังจากที่ตัดสินใจไม่ไปหาเอาดาบหน้า เพราะเพื่อนเราเค้ากลัวไม่ชัวร์) ก็ search ๆ ดู เจอ Agent พม่าเจ้านึง ตอบ mail มาดีมาก คุยไปคุยมาก็ให้ข้อมูลเราดี เลยตกลงเช่ารถพร้อมคนขับกับเค้า ซึ่งก็นับว่าตัดสินใจถูกละที่ไม่ไปหาเอาดาบหน้า

ต่อมาก็เรื่องขอวีซ่า ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร เตรียมเอกสารแล้วให้เพื่อนไปยื่นให้ (ยื่นพร้อมกัน 4 คน) พอวันไปเอาวีซ่า เพื่อนคนที่ไปรับเล่ม ยังไม่ได้วีซ่าเฉยเลยอ่ะค่ะ เหมือนเจ้าหน้าที่เค้ารอถามคำถามเพื่อนก่อน เพื่อนเราเขียนชื่อที่ทำงานเป็นสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง เค้าทำฝ่ายขายโฆษณาอยู่ที่นิตยสารของ สน พิมพ์นี้อ่ะค่ะ เจ้าหน้าที่ถามใหญ่เลย ว่าเป็นนักข่าวรึเปล่า หรือเป็นนักเขียน ต้องยืนยันว่าไม่ใช่ เป็นหนังสือเกี่ยวกับอาหาร เป็นฝ่ายขายโฆษณา เค้าถึงให้รอ แล้วเอาเล่มไปทำวีซ่าให้ตอนนั้นเลย (เพิ่งมารู้ทีหลังว่าพม่าเค้าไม่ออกวีซ่าให้นักข่าว นักเขียนง่ายๆ)

เดินทางแต่เช้าด้วยสายการบิน Air Asia ไปถึงพม่าแต่เช้า ก็ลุ้นว่า Agent พม่าที่เราจองรถไว้จะมารับเรามั้ยน้า.. ในที่สุดก็เห็นพี่ Driver ใส่โสร่งยืนยิ้มชูป้ายชื่อเราอยู่
รถที่มารับมีแอร์แต่ไม่เปิด เปิดกระจกแทน ก็โอเค เพราะไปหน้าหนาว อากาศกำลังสบาย เราก็นั่งชิลกันไป (หารู้ไม่ว่าตอนเที่ยงๆ มันร้อนสาหัสแค่ไหน)
แป๊บเดียวมาถึง รร Summit Parkview (ห้องที่เราพักมองเห็นวิวเจดีย์ชเวดากองชัดเจน) เก็บข้าวของแล้วก็ไปตลาด Scott กันก่อนเลย เพื่อไปแลกตังค์

นั่ง Taxi จากโรงแรมมา Scott Market แป๊บเดียวถึง ราคา USD 2 ไม่รู้แพงมั้ย นั่งครั้งแรก ที่ รร บอกราคานี้ ก็ราคานี้ (ตอนหลังเพิ่งรู้ว่าไปไกลกว่านี้ก็ราคานี้

ข้ามสะพานลอยมาฝั่งตรงข้าม เพื่อจะเดินไปเจดีย์สุเล จริงๆก็เดาๆว่ามาทางนี้ ไม่แน่ใจว่าถูกมั้ย คนที่ตลาดเค้าชี้ทางให้ ก็เดินไปมั่วๆ งงๆ

ทางเดินจากตลาด Scott ไปเจดีย์สุเล มีของขายแบบแปลกๆ ที่บ้านเราไม่มีเยอะ ก็เลยค่อนข้างตื่นตาตื่นใจ ถ่ายรูปกันใหญ่ พ่อค้าแม่ค้าพม่าก็น่ารัก เราขอถ่ายรูปร้านเค้า เค้าก็ยิ้มแย้มไม่ว่าไร … อันนี้ขายหมาก

มาถึงแล้ว เจดีย์สุเล
เป็นเจดีย์ขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ก็มีคนเยอะ ตอนที่ไปถึงเป็นตอนเที่ยง เห็นชาวพม่าล้อมวงเปิบข้าวกันแถวรอบๆเจดีย์ เราเลยล้อมวง งัดแฮมเบอร์เกอร์ที่ซื้อจากเมืองไทยออกมากินเป็นอาหารกลางวันบ้าง

กินเสร็จ ถ่ายรูปเสร็จ ก็เดินออกมาเรียก Taxi หน้าเจดีย์สุเลไปต่อที่เจดีย์โบตาทาว ซึ่งมีเทพทันใจอยู่ (เพื่อนบอกว่าต้องไปไหว้ให้ได้)
ความจริงไม่รู้หรอกว่าอันไหนหน้า อันไหนหลังของเจดีย์ เพราะมันเป็นวงเวียน มีทางเข้าหลายทาง เง็ง

มาถึงเจดีย์โบตาทาว เดินเข้าไปในเจดีย์ ก็อึ้งอ่ะ กำแพงเป็นทองหมดเลย โห..

เดินออกมาดูเจดีย์ อึ้งกว่า เอ่อ…มันเจดีย์เสื่อนี่นา ไม่ใช่เจดีย์ทอง
คือเค้าบูรณะอยู่ เลยเอาเสื่อมาแปะไว้ แต่ก็สวยไปอีกแบบ

เสร็จจากโบตาทาว ก็นั่ง Taxi ไปต่อที่วัดพระเขี้ยวแก้ว หรือ เมี้ยดชเวดอ
ตอนเรียก Taxi ไปลำบากมาก เพราะเค้าไม่เข้าใจว่าเราจะไปไหน ต้องชี้ที่ฟัน แล้วทำท่าไหว้ๆ ถึงรู้ว่าจะไปวัดที่มีพระทันตธาตุ
ขอบอกว่านั่งรถนานมากๆ ทรมานและเพลียสุดๆ รถ Taxi ทุกคันเก่ามาก และไม่มีแอร์ ตอนกลางวันแดดจะแรงมากๆ เหมือนนั่งในเตาอบ Taxi ขับช้ามากกกก เพราะสภาพนี้คงขับเร็วไม่ได้
กว่าจะถึงวัดพระเขี้ยวแก้ว เล่นเอาหมดแรงกายและแรงใจ นาทีนั้นอยากกลับบ้านมาก ลงจากรถได้ พุ่งตัวไปซื้อ Star Cola กินทันที
พอเดินไปดูเจดีย์ ก็ค่อยหายเหนื่อยหน่อย เพราะว่าก็สวยคุ้มที่อุตสาห์ดั้นด้นมา

จากวัดนี้ เรานั่ง Taxi กลับโรงแรมเลย หมดเรี่ยวแรงแล้ว เดาว่าน่าจะเพลียแดดกัน
กลับโรงแรมไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นกันหน่อย แล้วค่อยไปต่อที่วัดพระนอนและเจดีย์ชเวดากอง ซึ่งอยู่ใกล้ รร นิดเดียว
วัดพระนอนเจ๊าทัตจี ถ่ายมุมนี้น่าจะดีสุด เพราะถ้าถ่ายด้านหน้า จะติดเสาโครงเหล็กของหลังคา

ในที่สุดก็มาถึงเจดีย์ชเวดากอง ไฮไลท์ของย่างกุ้ง แต่ต้องเศร้าเล็กน้อย เพราะเค้าบูรณะส่วนยอดเจดีย์อยู่
ถึงแม้มีโครงไม้ไผ่หุ้มอยู่ ยังสวยขนาดนี้ มันแบบว่า ทองอร่ามไปหมด

วันที่ไปเป็นวันที่ 1 มกราพอดี คนเยอะมากๆ มีการจุดเทียนรอบๆองค์เจดีย์
ไปยืนๆถ่ายรูปตรงเค้าจุดเทียน สาวพม่าใจดียื่นธูปมาให้เราร่วมจุดเทียนกะเค้าด้วย

คนอย่างเยอะ รวมตัวกันนั่งสวดมนต์

เราเดินวนถ่ายรูปหลายรอบ มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะมากๆ ทองทั้งน้านนน
แต่ว่าเมื่อยเท้ามากๆอ่ะ ไม่ชินกับการเดินเยอะยังงี้ด้วยเท้าเปล่า

เช้าวันที่ 2 มกรา รถที่เราเช่าไว้ มารับไปพระธาตุอินทร์แขวน แต่ก่อนอื่นเราต้องไปรับตั๋ว Yangon Airways สำหรับบินจากย่างกุ่งไปมัณฑะเลย์ที่สนามบินก่อน (เพราะวันที่มาถึง ดันลืมไปเอา) ซึ่งสำนักงานของแต่ละ Airlines ในส่วน Domestic นี่มันประหลาดมาก คือจะแอบอยู่ในห้องที่ปิดทึบ ประตูไม้เก่าๆ ตอนแรกไม่กล้าเข้าเลย มันเงียบๆ มืดๆ ดีที่พี่หม่องคนขับรถไปด้วย
กว่าจะเสร็จภารกิจ และนั่งรถอันยาวนานมาถึงที่คิมปุ้นแค้มป์ก็เที่ยงแล้ว กินข้าวกลางวันเสร็จก็นั่งรถบรรทุกเพื่อไปเริ่มเดินขึ้นพระธาตุ
ข้ามมาตอนเดินเลยนะคะ ร้านพะโล้ระหว่างทางขึ้น

กว่าจะขึ้นมาได้ เหนื่อยมากๆ
ใช้เวลาเดิน 1 ชั่วโมง คนที่นั่นบอกว่า 3 ไมล์ ไม่รู้จริงมั้ย รู้แต่มันชันมากๆ
ในที่สุดก็มาถึง…พระธาตุอินทร์แขวน

ชาวพม่ามากันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นลูกเล็กเด็กน้อย จนไปถึงปู่ยาตายาย

พอพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า ก็หนาวมากๆ

อยู่กันจนมืดค่ำ
เราพักโรงแรม Mountain Top ใกล้ๆ พระธาตุ เดิน 5 นาทีก็ถึง

เช้าวันต่อมา ตื่นแต่เช้ามืดมาดูพระอาทิตย์ขึ้น
ทิศตะวันออกจะเป็นคนละด้านกับพระธาตุ
มีทะเลหมอกด้วย สวยจัง

พระเณรที่พม่ามีเยอะมากๆ จะเจอในทุกๆที่

สายๆ เราก็ลงจากเขา พี่หม่องคนเดิม มารับเราไปหงสาวดีต่อ

พระธาตุมุเตา

ที่ต่อมาคือ พระราชวังบุเรงนอง

ด้านใน ซึ่งปกติไม่เปิดให้เข้า แต่ลุงหม่องคนเฝ้าจะเปิดให้ แล้วเราก็ต้องให้ทิปเค้า
อันนี้รู้ล่วงหน้าว่าจะเป็นยังงี้ เพราะอ่านหนังสือเจอ ใครๆ ก็คงจะเจอยังงี้

วัดพระนอนชเวตาเลียว

ที่สุดท้ายที่หงสาวดีที่แวะคือ เจดีย์พระสี่ทิศ ไจ้ก์ปุ่น

ออกจากหงสาวดีเย็นๆ กว่าจะกลับถึงย่างกุ้งก็มืดแล้ว วันนี้เป็นอีกวันที่เหนื่อยมากๆ นาทีนั้น อยากกลับบ้านอีกแล้ว

วันที่สีของการเดินทาง ตื่นเช้ามากๆ เพราะต้องรีบไปขึ้นเครื่องไปมัณฑะเลย์ เรานัดพี่หม่องคนขับรถไว้ แต่พี่ดันมาช้าไปสิบห้านาที ลุ้นแทบแย่ แต่ในที่สุดก็ไปทัน เพราะขึ้นเครื่องในประเทศที่นี่มันเปรียบเสมือนไปขึ้นรถทัวร์บ้านเรา สบายๆ ไม่ต้องล่วงหน้านานนัก
พอมาถึงสนามบินมัณฑะเลย์ ก็มีคนขับรถของบริษัทเดิมที่เราจองมา ชูป้ายชื่อเรายืนยิ้มฟันแดงรออยู่ อากาศที่มัณฑะเลย์เย็นกว่าย่างกุ้งมาก ฟ้าที่นี่ก็ใสแบบไม่มีเมฆโผล่มาให้เห็นแม้แต่นิด
ขึ้นรถได้ ก็มุ่งหน้าไปท่าเรือทันที ที่แรกที่เราจะไปคือ มิงกุน

เรานั่งเรือส่วนตัว (ก็ทั้งลำมีแค่เรา 4 คน) ที่ Agent เจ้าเดียวกับที่เราเช่ารถเค้าจัดให้ ล่องแม่น้ำอิระวดีเพื่อไปยังเมืองมิงกุน จุดประสงค์เพื่อไปดูเจดีย์ยักษ์มิงกุน และเจดีย์สีขาวที่เป็นหน้าปก Lonely Planet Myanmar

ใช้เวลาชั่วโมงกว่า ก็มาถึงมิงกุน
พอขึ้นฝั่งปุ๊บก็มี Taxi มารอรับเลยค่ะ

เราใช้บริการ Taxi เกวียน ราคาไม่แพง
แต่ที่หงุดหงิดคือมีไกด์ที่ไม่ได้รับเชิญกระโดดขึ้นเกวียนมาด้วย
ตอนแรกก็งงๆ ไม่รู้ว่าใคร นึกว่ามากับคนขับเกวียน ที่ไหนได้ มาอาสาเป็นไกด์ แล้วขอให้เราจ่ายเงิน เราก็ให้ ถือว่ากระจายรายได้ และเค้าก็เล่าโน่นนี่ให้ฟัง แต่ที่แย่คือ เค้าไม่พอใจในราคาที่เราให้ แล้วตามตื๊อสุดๆ จนเราขึ้นเรือ เราเบื่อมาก เซ็งสุดๆ
โสร่งเขียวนี่แหละ ไกด์ไม่ได้รับเชิญ

นั่งเกวียนแป๊บนึงก็มาถึงเจดีย์ชินพิวเม่ ที่ขึ้นปก Lonely Planet
ไปถึงแล้วก็งงๆ ว่าทำไมไม่มีคนมาเที่ยวที่นี่เลย มันเงียบมาก (ตอนหลังเพิ่งรู้ว่าเรามาเข้าทางด้านหลัง จริงๆด้านหน้า คนเพียบเลยอ่ะ)

ร้านขายของที่ระลึก
แอบน่ากลัวอ่ะ ดูเก่าจริงๆ

จากเจดีย์ขาว นั่ง Taxi เกวียนต่อมายังเจดีย์ยักษ์มิงกุน
ทีแรกก็ว่านั่งเกวียนสนุกดี แต่มันไม่สนุกอย่างที่คิดอ่ะ
ล้อมันเป็นไม้ แล้วพื้นถนนไม่เรียบ เวลาตกหลุมอ่ะ ไส้หลุดเลย ฝุ่นก็อย่างเยอะ
นั่งแค่แป๊บเดียวก็เริ่มท้อแล้ว

เจดีย์มิงกุน ความจริงชื่อ ปะโททาจี (ออกเสียงยากมาก)
เป็นเจดีย์ที่ยังสร้างไม่เสร็จ เพราะกษัตริย์องค์ที่สร้าง สวรรคตก่อน เลยไม่ได้สร้างต่อ
รอยร้าวที่เห็นเกิดจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในอดีต (จำปีไม่ได้อ่ะค่ะ)

ความจริงไปแวะระฆังยักษ์มิงกุนมาด้วย แต่ไม่ได้เลือกรูปมาลงอ่ะค่ะ
อันนี้เจดีย์เซททอย่า เป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทด้วย
เราแวะที่นี่เป็นที่สุดท้ายบนมิงกุน ก่อนนั่งเรือกลับ

ชีวิตริมน้ำ

กลับจากมิงกุน แวะกินข้าวกลางวันที่ร้านอาหารไทย ชื่อร้าน Ko’s Kitchen อร้อย อร่อย อาหารไทยอร่อยที่สุด
แล้วก็มาที่พระราชวังมัณฑะเลย์

ทั้งหมดเป็นของที่รัฐบาลสร้างขึ้นมาใหม่นะคะ เพราะพระราชวังของจริงโดนไฟไหม้ไปหมดแล้วค่ะ

ต่อมาเราก็มาที่ Golden Palace หรือสำนักสงฆ์ชเวนันดอ
อันนี้ที่เค้าเรียกว่า Golden Palace เพราะว่าเป็นอาคารไม้สักปิดทองทั้งหลัง ในพระราชวังมัณฑะเลย์ในอดีต
เป็นอาคารของจริงของพระราชวังมัณฑะเลย์ที่รอดจากการไฟไหม้ เพราะกษัตริย์ทรงถวายอาคารไม้หลังนี้ให้วัด
ก็ทำการย้ายจากบริเวณวังมาที่บริเวณวัด เลยไม่โดนไฟไหม้

ที่เห็นว่าเกือบไม่มีสีทองหลงเหลืออยู่แล้ว ก็เพราะกาลเวลาผ่านไปนาน สีทองก็หลุดไปหมดค่ะ
แต่ขอบอกว่างานแกะสลักที่นี่สวยงามมาก ถึงแม้ไม่มีทองหุ้มก็ตาม
เราเจอเณรน้อยคนนี้ที่วัดด้วย เค้าเป็นดาราหน้ากล้อง ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป แลกกับปัจจัยเล็กๆน้อยๆ

ที่ตื่นเต้นคือ ก่อนไปได้อ่านหนังสือเที่ยวพม่าเล่มนึง มีเณรน้อยรูปนี้ขึ้นปกด้วย เหมือนเจอดาราอ่ะ เสียดายไม่ได้เอาหนังสือไปด้วย ไม่งั้นจะขอลายเซ็นเณร

เณรจะรู้มุมกล้องมาก พอบอกเณรว่าถ่ายรูป เณรจะ post ท่าหันหน้าเข้าแสง เป็นงานมากๆค่ะ ก่อนกลับเราถามว่าที่วัดนี้มีพระเณรกี่รูป เณรก็เล่าใหญ่ว่ามีกี่รูป แต่ว่าคนอื่นไม่ได้อยู่ที่อาคารหลังนี้ ที่เห็นเค้าคนเดียวตรงนี้ เพราะเค้าทำงานที่นี่
เณรบอกยังงี้จริงๆ “I work here”

ออกจากสำนักสงฆ์ชเวนันดอ ก็รีบร้อนไปที่สะพายอูเบ็ง กลัวไม่ทันพระอาทิตย์ตก
ที่นี่นับว่าเป็นไฮไลต์ของทริปที่เราตั้งตารอ

เรานั่งเรือของลุงคนนี้ชมพระอาทิตย์ตกที่สะพานอูเบ็ง
ถามจากลุง ถึงรู้ว่าที่นี่คือทะเลสาบตองตะมาน
ความจริงลุงพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แต่สื่อสารกันได้แฮะ

วิวสวยสมที่ตั้งใจมาเลย
เราชอบที่นี่มาก ชอบสีท้องฟ้า ชอบอากาศเย็นๆ เรือพายช้าๆ สบายๆ
ชอบที่นี่ที่สุดในทริปนี้ค่ะ เป็นที่ที่เราคิดว่าพระอาทิตย์ตกสวยที่สุดในโลกเลย

เราเป็นเรือลำสุดท้ายที่ขึ้นจากน้ำเลย

เช้าวันต่อมาเราตื่นตีสามครึ่ง เพราะต้องไปดูพิธีล้างหน้าพระมหามุนีตอนตีสี่
เราไปถึงวัดตอนตีสี่ จับจองที่นั่งหน้าสุดตรงบริเวณที่ผู้หญิงนั่งได้ ถ้าเป็นผู้ชายจะได้นั่งหน้ากว่า

เริ่มพิธีตอนตีสี่ครึ่ง เจ้าอาวาสจะเป็นผู้ทำพิธีนี้ โดยทำมาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้วทุกวัน ไม่เว้นซักวันเลย
เฉพาะผู้ชายที่สามารถขึ้นไปปิดทององค์พระได้นะคะ พวกผู้หญิงได้แต่ไหว้ตรงบริเวณที่กำหนด แล้วฝากผู้ชายไปปิดทองได้
เสร็จจากที่นี่ เราก็รีบไปสนามบินเพื่อเดินทางต่อไปพุกามค่ะ

จากมัณฑะเลย์ เรานั่ง Air Bagan มาที่พุกาม ดินแดนแห่งเจดีย์
พุกามก็เป็นอีกที่ ที่ตั้งใจมาดูทะเลเจดีย์ยามพระอาทิตย์ขึ้นให้ได้
ที่พุกามอากาศเย็น แต่แดดแรงมาก แสบแขนไปหมด
คนขับรถจาก Agent พม่าเจ้าเดิม มารอรับอยู่แล้ว ไปกันเลยค่ะ

หลังจากเอาของไปเก็บที่โรงแรม เราก็ไปตลาดนองอูกัน
วันนี้เราเที่ยวด้วยรถตู้ที่เช่าไว้ วันต่อไปถึงจะนั่งรถม้านะคะ
ที่เห็นในรูปเหมือนเป็นน้ำมันอะไรซักอย่าง เรายืนดูอยู่ว่าเค้าขายยังไง
ก็เห็นว่าผู้หญิงพม่าที่มาซื้อ จะเอาขวกพลาสติกมากันเอง แล้วมาให้ที่ร้านกรอกน้ำมันให้
เราเดาว่าเป็นน้ำมันสำหรับทำกับข้าว ไม่รู้ใช่เป่า

มีของขายมากมาย ตั้งแต่ของสด ของแห้ง ของที่ระลึก ตะนะค่า ฯลฯ

จากนองอูก็มาที่เจดีย์ชเวสิกอง ขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็สวยงามค่ะ
ลมเย็นสบาย อากาศดี (แต่ต้องอยู่ในร่มนะคะ ถ้ากลางแจ้งนี่ แดดอย่างแผดเผาเลย)
เรานั่งรอเพื่อนๆ ไปเดินถ่ายรูปรอบเจดีย์ เกือบหลับ

ภาพเขียนบนทราย จะมีขายอยู่เกือบทุกเจดีย์ที่ไปเลย
ใครชอบแต่งบ้านสไตล์นี้ น่าจะชอบ เพราะสวยดี และราคาไม่แพง

เจดีย์ติโลมินโล
ความจริงทุกเจดีย์มีเรื่องเล่าหมดนะคะ
จำได้บ้างไม่ได้บ้าง เดี๋ยวเล่าผิดเล่าถูก ดูแต่รูปละกันนะคะ

หมู่เจดีย์ใกล้ๆ มิงกาลาเจดีย์
นี่มาเป็นที่แรกๆ ก็ว่าเยอะนะ (เดี๋ยวต่อๆไป เยอะกว่านี้อีก)

วิหารอนันดา ที่เค้าว่าเป็นนางเอกของพุกาม เป็นเจดีย์ที่สำคัญมากของพุกาม
ตอนที่เราไปเป็นช่วงเตรียมงานประจำปีของวัด ดูเหมือนน่าจะยิ่งใหญ่
จะมีคาราวานเกวียนมาจากเมืองใกล้ๆ มาปักหลักรอบๆวัด เพื่อมาร่วมงานบุญประจำปี
เดี๋ยวตอนหลังมีรูปให้ดูด้วยค่ะ

เราแวะหลายที่หลายเจดีย์มาก
บางรูปก็จำไม่ได้ว่าถ่ายจากตรงไหน

ที่ต่อมาคือเจดีย์ธรรมะยาซิกา
ทองที่หุ้มเริ่มถลอกแล้ว

ไปเที่ยวพม่าโดยเฉพาะที่พุกาม ควรหนีบแตะไปนะคะ ให้เป็นรองเท้าคู่ที่ใส่และถอดง่ายและเลอะเทะได้ (ฝุ่นเยอะมากๆ)
เพราะจะต้องถอดรองเท้าทุกเจดีย์ และมันมีเป็นสิบๆ ที่อ่ะค่ะ

เย็นๆ เราปีนขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกกันที่เจดีย์ชเวซันดอ
ทางปีนขึ้นค่อนข้างชัน แต่ก็มีราวบันไดให้เกาะ มีเสียวเล็กน้อย

เสร็จแล้วก็ปีนลงมาถ่ายแสงสุดท้ายแถวๆที่จอดรถ

เช้าวันรุ่งขึ้น เรานัดรถม้ามารับตอนใกล้ตีห้า เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน
สำหรับรถม้า เราติดต่อเช่าตอนมาถึงโรงแรมที่พุกาม
คนขับรถม้าพูดภาษาอังกฤษใช้ได้เลย เราย้ำเค้าแล้วย้ำอีกว่าเอารถม้าและคนขับ คือเค้าเท่านั้น อย่าเอาไกด์ไม่ได้รับเชิญมาเพิ่มให้เด็ดขาด (เข็ดจากที่มิงกุน) เค้าก็ขำใหญ่ บอกว่ามาคนเดียวแน่ๆ
ตอนตีห้าออกมาหน้าโรงแรมก็เจอรถม้ามารออยู่แล้ว เราเช่า 2 คันเพราะมี 4 คน คันนึงจะนั่งได้ 2-3 คน
ระหว่างทางไปเจดีย์ที่จะปีนไปดูพระอาทิตย์ขึ้น มันหนาวววววมาก
พอไปถึงเจดีย์เป้าหมาย ยังมืดตึ๊ดตื๋ออยู่ คนขับรถม้าเอาไฟฉายให้ยืม เพื่อปีนขึ้นไปด้านบน ทางขึ้นโอเค ไม่หวาดเสียวเหมือนเจดีย์ที่ไปดูพระอาทิตย์ตกเมื่อวาน
รออยู่ซักพัก พระอาทิตย์ก็ขึ้น

การดูพระอาทิตย์ขึ้น ถือว่าเป็นภารกิจหลักของการมาพุกาม
สมที่ตั้งใจมาจริงๆ

มีบอลลูนด้วย คนขับรถม้าบอกว่าแพงมาก ค่าขึ้นคนละราวๆ 200 เหรียญ

พระอาทิตย์สูงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
เรากลับมาขึ้นรถม้าเพื่อไปเที่ยวเจดีย์เด่นๆ ในเขต Old Bagan กัน

ม้าที่พาเพื่อนเราเที่ยวชื่อ Madonna
ตัวของเราเป็นชื่อพม่า เลยจำไม่ได้

เสร็จแล้วไปแวะที่เจดีย์บุพยา ริมแม่น้ำอิระวดี
เค้าว่าที่รูปแบบไม่สวยงามเหมือนเจดีย์อื่นๆ เพราะสร้างสมัยก่อนอาณาจักรพุกามของพระเจ้าอโนรธาซะอีก

วัดมหาบดี

เจอชาวบ้านข้างทาง เห็นแสงสวยดี เลยขอเค้าถ่ายรูป

สำนักสงฆ์เก่าแก่ ใกล้ๆวัดอนันดา
ไม่รู้จักชื่อค่ะ คนขับรถม้าพามา

นี่แหละค่ะ คือคาราวานเกวียนที่ว่า
เค้ามาจากเมืองอื่น เดินทางมาหลายวัน เพื่อมาอยู่ร่วมงานประจำปีที่วัดอนันดา
เค้าใจดีกันมากเลย พวกเราเค้าไปขอถ่ายรูป เค้าก็เอาถั่วมาให้กิน เราก็เอาลูกอมแจกเด็กๆ
พอถ่ายรูปเสร็จ เค้าขอดูรูปจากกล้อง ดูแล้วเขินกันใหญ่
ชาวพม่าที่น่ารักดีๆ มีเยอะนะคะ พอลบล้างพวกที่ชอบมาหาประโยชน์ มัดมือชกนักท่องเที่ยวได้

วิหารธรรมยังจี
ใหญ่โตมาก ต้องออกมาถ่ายไกลๆ

เจดีย์สุลามณี

ตอนหลังๆนี่มึนมาก หลายเจดีย์หน้าตาคล้ายกัน

วัดมนูหะ
เป็นที่สุดท้ายที่แวะ ก่อนกลับย่างกุ้ง
จบแล้วค่ะ ทริปพม่า ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไป ของเรานี่คิดว่าไปครั้งเดียวพอแล้วน้า (คราวหน้าไปเที่ยวที่อื่นบ้างไง)
มีหลายอย่างที่เราไม่ชอบของประเทศนี้ ซึ่งก็แล้วแต่คนนะคะ อย่างเพื่อนเรา ยังไม่ทันกลับถึงเมืองไทย ก็บอกว่าอยากจะเที่ยวพม่าอีก เพราะยังไปไม่ครบ ยังขาดที่อินเล แต่เราไม่เอาแล้วน้า เพื่อนไปกับคนอื่นละกันนะ อย่ามาชวนเล้ย

สรุปก็เป็นทริปที่ประทับใจมากอันนึง ถ้าไม่ได้ไปคงเสียดายเหมือนกันค่ะ