มาถึงตอนสุดท้ายของการเดินทางท่องเที่ยวดินแดน Outback ของเด็กจิ๋วแล้วนะคะ
ตอนนี้เด็กจิ๋วจะพาไปขับรถเที่ยวบนเส้นทางที่ขึ้นชื่อว่าสวยติดอันดับเลยก็ว่าได้
นั่นก็คือ The Great Ocean Road ค่ะ
เราขับรถกันตั้งแต่ที่ Melbourne ไปจนถึง Adelaide แล้วบินกลับบ้านค่ะ
รวมระยะทางกว่า 1,000 กิโลเมตร
พร้อมแล้วไปเที่ยวกันเลยค่ะ
ความเดิมตอนที่แล้ว
Australia ตอน 1 Sydney to Melbourne สองมหานครที่แตกต่าง
Australia ตอน 2 Discover Amazing Tasmania
– 3 มกราคม 2557 –
เช้านี้เรายังคงอยู่ที่ Melbourne กันค่ะ
ปะป๊ากับแม่ตื่นแต่เช้า เดินไปเอารถเช่าที่ Office ของ Thrifty ห่างจากโรงแรมไปไม่ไกล
ความตื่นเต้นในการขับรถไปรับสมาชิกที่รออยู่ที่โรงแรมอยู่ตรงที่ว่าเราจะต้องเลี้ยวขวา แล้วทำ Hook Turn
คือเรื่องของเรื่อง Melbourne จะเป็นเมืองที่มีรถรางเยอะมาก ถนนทั้งหมดตรงกลางจะเป็นช่องทางของรถราง
เวลาเราจะเลี้ยวขวา เราจะต้องชิดซ้ายอ่ะค่ะ เค้าจะมีป้ายติดเอาไว้เลยว่า Right Turn From Left Only
ก็ประมาณว่าจะเลี้ยวขวาต้องอยู่ซ้ายสุด พอไฟเขียวก็ให้ขับไปจอดเฉียงๆไว้หน้ารถที่จะพุ่งมาจากทางซ้ายมือ
แล้วพอไฟอีกฝั่งเขียวก็รีบออกตัวไปก่อน แบบนี้มันคล้ายๆท่าลักไก่ของเมืองไทยเลยอ่ะ
พอผ่าน Hook Turn มาด้วยความตื่นเต้น ก็มารับสมาชิกที่โรงแรมเพื่อไป Queen Victoria Market
พวกเราติดใจผลไม้ที่นี่กันมากๆ เราขนซื้อผลไม้ไปทานระหว่างทางขับรถกันเยอะมาก
ปะป๊าบอกว่าอยากจะกินแทนข้าวเลย ถูกและดีมีที่นี่จริงๆ
หลังจาก Shopping เสร็จ เราก็เริ่มต้นเส้นทาง The Great Ocean Road กันเลย
โดยมีปลายทางคือ 12 Apostles
ระหว่างทางเราแวะเก็บ Berry กันที่ Gentle Annie Berry Farm
ซึ่งต้องขับแยกออกมาจากเส้นเลียบชายฝั่งประมาณ 20 นาที
แต่เป็นการแวะที่เสียดายเวลามากมายเลย
ความตั้งใจแรก เราอยากจะเก็บเชอรี่กันที่ Tasmania แต่อด เพราะมีเวลาที่ Tasmania น้อยมากๆ
ก็เลยพยายามหาแถวๆ นี้ ก็ไม่มีอีก มีแต่ Berry Pick ก็เลยลองแวะมาที่นี่
ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ visitor center แถว Geelong ที่ไปแวะถามมา
ปรากฎว่าแทบจะไม่มีสตรอเบอรี่ให้เก็บเลย ไม่เน่า ก็ลูกเล็ก ต้นก็ดูเหี่ยวๆ
ที่ขอบด้ง ดอยอ่างขางยังสวยกว่าเยอะเลยอ่ะ ผิดหวังมากมาย
เมื่อไม่มีสตรอเบอรี่ให้เก็บ เราลองไปดู Berry อื่นๆดีกว่า
ปรากฏว่า ไม่ว่าจะเป็น Raspberry Mulberry หรือ Blackberry ทำไมพากันเปรี้ยวปิ๊ดยังงั้นไม่รู้
เดินไปสักพักถึงเพิ่งรู้ว่าที่เราลองชิมแดงๆ คือยังอ่อนอยู่ ต้องแบบสีดำๆเข้มๆ ซึ่งแทบจะไม่มีอยู่เลย
แต่สิ่งที่มีเยอะมากมายที่นี่ก็คือ แมลงวัน เยอะชนิดที่เรียกว่าไม่เคยเห็นเยอะอย่างงี้มาก่อน
ขนาดว่าเมืองไทยแมลงวันก็เยอะนะ
ที่นี่ชนะเลิศ เยอะแบบว่า เวลาจะเข้ารถต้องโบกๆ มันออกไปก่อน แล้วพุ่งตัวเข้ารถปิดประตูทันที
ขนาดทำแบบนี้ก็ยังมีมาโดยสารรถเรา 2-3 ตัว
มีฝรั่งคนนึงใส่เสื่อแจ็กเก๊ตสีดำ มีแมลงวันเกาะหลังอยู่ประมาณ 50 ตัวได้ เยอะจนขนลุก
แล้วเกาะแน่นมาก เดินไปเดินมาก็ไม่หลุด สยองมากๆ …
เรารีบออกไปจากที่นี่ดีกว่า
ช่วงแรกของเส้นทาง The Great Ocean Road ของเราในวันนี้ ครึ้มฟ้าครึ้มฝนมาก
เมฆเต็มฟ้าไม่เห็นแสงแดดเลย
แต่พอขับออกมาเรื่อยๆ ฟ้าก็เริ่มใสขึ้นเรื่อยๆ
ได้แต่หวังว่าที่ 12 Apostles ฟ้าจะปลอดโปร่งแบบนี้
วิวระหว่างทาง สวยงามสมกับที่ได้ชื่อว่าเป็น The Great Ocean Road
เราแวะถ่ายรูปกันเกือบทุกจุดที่สามารถจอดรถได้เลย
และแล้วก็มาถึงอีกเป้าหมายของเราคือ ป่ายูคาลิปตัสข้างทาง ริมถนนเข้าแหลม Otway
อ่านจากในรีวิวมา เค้าว่าตรงนี้จะมีโคอาล่าอาศัยอยู่ตามธรรมชาติ
ขับรถเข้ามาได้พักนึงก็ยังเงียบ มองดูบนต้นไม้ก็ไม่เห็นมีอะไร ซักพักเริ่มเห็นคนจอดรถเงยหน้าดูอะไรกัน
เรารีบจอดบ้างทันที แล้วก็เจอค่ะ โคอาล่าจอมขี้เซา น่ารักมากๆ มีหลายตัวเลยค่ะ
บางตัวหลับห้อยอยู่บนยอดไม้ บางตัวก็กินๆใบไม้
ส่วนคู่นี้น่ารักที่สุด เป็นคู่แม่กับลูกน้อย
เนื่องจากดูเวลาแล้ว เรากลัวไปไม่ทันพระอาทิตย์ตกดินที่ 12 Apostles
เราเลยไม่ได้ขับเข้าไปเที่ยวที่ประภาคาร Otway
ซึ่งอันนี้เสียดายอยู่เหมือนกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้า ไม่น่าไปแวะฟาร์มแมลงวันเลย
จากนี้ไป เราทำเวลากันน่าดู เจอวิวสวย จอด ปะป๊าโดดลงไปถ่ายๆๆ กลับขึ้นมา รีบขับต่อ
เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยค่ะ
กว่าจะมาถึงที่พักก็เกือบเย็นแล้ว
วันนี้เราพักกันที่ Arabella Bed & Breakfast ซึ่งอยู่ห่างจาก 12 Apostles ประมาณ 10 กิโลเมตร
เจ้าของบ้านน่ารักมากๆ เป็นคุณลุงคุณป้าคู่หนึ่ง
คุณลุงทำงานในฟาร์ม คุณป้า ชื่อป้า Lynne ทำบ้านเป็นที่พัก
บ้านป้า Lynne กว้างใหญ่ สวยงาม น่าอยู่มาก วิวก็งาม ป้าทำเองทุกอย่าง ทำความสะอาดเองด้วย
ซึ่งเราประทับใจมาก เพราะบ้านป้าสะอาดมากๆ
อันนี้เป็นห้องนอนซึ่งนอนได้ 5 คน มีห้องน้ำในตัว ซึ่งห้องน้ำกว้างและสะอาดมากๆ
ราคารวมอาหารเช้าอยู่ที่คืนละ AUD245 ซึ่งถ้าเทียบกับสิ่งที่ได้รับ ราคานี้ถือว่า ok ค่ะ
โถงทางเดินทางปีกที่เป็นห้องพักแขก ซึ่งมีทั้งหมด 3 ห้อง คืนที่เราไปพัก มีห้องเราห้องเดียว
วิวจากด้านหลังห้องที่เราพัก มองไปไกลๆเป็นมหาสมุทร วิวบ้านป้าชนะเลิศเลย
เรารีบเอาของเข้าที่พัก แล้วขับรถไป 12 Apostles ระยะทางประมาณ 10 กิโลจากบ้านป้า
พอไปถึงก็ถึงกับอึ้ง คือเคยเห็นรูป 12 Apostles บ่อยๆ แต่ความรู้สึกมันไม่เหมือนได้มายืนอยู่ตรงนี้จริงๆ
ยังไงดีล่ะ…มันรู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ หินก้อนใหญ่กว่าที่นึกไว้ คลื่นมหาสมุทรแรงมาก ลมแรงที่สุด
เหมือนว่าเราตัวเล็กจิ๊ดเดียวเลย เทียบกับความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ
ลานจอดรถจะอยู่ฝั่งตรงข้ามถนนกับจุดที่เป็น 12 Apostles
เราจอดรถแล้วเดินมุดทางเดินลอดใต้ถนนมา จะมีทางเดินไม้ยื่นออกไปชมวิวอย่างสะดวกสบาย
แต่เมื่อก้าวเท้าออกมาก็ต้องวิ่งกลับเข้าไปใหม่ เพื่อไปใส่เสื้อ jacket ให้เด็กจิ๋วอย่างแน่นหนา
เพราะลมที่นี่แรงมากๆ เหมือนจะแรงกว่าบน Mt.Wellington ที่เราไปเผชิญมาอีก
ไม่สงสัยละ ว่าทำไมหินผาก้อนใหญ่มหึมาถึงค่อยๆโดนคลื่นลมซัดพังลงไปทีละก้อนๆ ลมแรงมากจริงๆ
พี่เราที่ไปด้วยกัน กำลังเดินก้าวขึ้นบันได มีลมพัดมาวูบแรงๆ พี่เค้าล้มลง กล้องกระแทกพื้นเลย โอว..
จากทางเดินไม้ที่เป็นจุดชมวิว มองด้านขวาจะเป็นวิวนี้ เมฆมาก แต่ก็ยังมีท้องฟ้าสีฟ้า ให้เห็นบ้าง
มองซ้ายเป็นวิวนี้ ฟ้ามืดมิดไปด้วยเมฆดำ ได้แต่ภาวนาว่าเมฆดำอย่าลอยมาใกล้กว่านี้เลย
กลัวไม่เห็น Sunset ที่นี่
เราถ่ายรูป+เผชิญลมแรงกันพักใหญ่ ก็ขับรถออกมาหาอะไรทานกันระหว่างรอพระอาทิตย์ตกดิน
ร้านนี้อยู่เมือง Princetown เมืองเล็กๆ ใกล้ๆ 12 Apostles หม่ำ Pizza และ Pasta กัน
ราคาค่อนข้างโหด แต่ก็อร่อยดี และเราไม่มีทางเลือก เหมือนจะมีอยู่ร้านเดียวที่จะฝากท้องไว้ได้
อิ่มท้องแล้ว กลับมาเผชิญลมแรงและความหนาวเย็นกันต่อ
เหมือนฟ้าจะเริ่มใสขึ้น เมฆดำหายไป
พระอาทิตย์จะตกแล้ว แสงสวยๆเริ่มตกกระทบสาวกทั้ง 8 ของพระคริสต์แล้ว
(อีก 4 โดนคลื่นลมถล่มล้มหมดแล้ว)
ความจริงมาที่นี่หน้าร้อน เราคาดหวังฟ้าใสๆ พระอาทิตย์ตกแบบแจ่มๆ
แต่ก็ต้องผิดหวัง เสียดายมากมาย เพราะมีเมฆก้อนใหญ่ๆมาบังไว้
ยิ่งมืดลง อากาศก็ยิ่งหนาวขึ้น ลมยังคงแรงกระหน่ำไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย
ระหว่างนั่งชมวิวอยู่ ก็สังเกตเห็นว่าปากเด็กจิ๋วเริ่มเป็นสีม่วง
เด็กเริ่มหนาวสั่นหงักๆ แต่ก็ยังคงยิ้มและหัวเราะได้
สักพักรอบๆ ปากเริ่มเขียวๆ แล้วปากม่วงเลย คราวนี้แม่รีบวิ่งอุ้มเด็กจิ๋วกลับไปรอปะป๊าที่รถเลย
พออยู่ในรถอุ่นๆสักพัก ก็กลับเป็นปกติ ค่อยยังชั่วหน่อย แม่ตกใจหมดเลย
กลับมาบ้านป้า Lynne อันแสนอบอุ่น
มาดื่มชา ผิงเตาผิงอุ่นๆ และเล่นกับหมาน้อยของคุณลุงที่ห้องโถงนี้ซักพักก็เข้านอน
พรุ่งนี้มีภารกิจแต่เช้ามืด
หวังว่าพรุ่งนี้เช้าเมฆฝนจะไปหมดแล้วนะ…
เช้ามืดอย่างนี้ มีนักท่องเที่ยวมารอดูแสงแรกกันที่ 12 Apostles เยอะเหมือนกัน ไม่เงียบเหงาอย่างที่คิด
(แถวบ้านป้าเงียบมากๆ เหมือนมีแค่บ้านเราบ้านเดียวอยู่ตรงนั้น เงียบ มืด และหนาวมาก)
แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ เช้านี้พระอาทิตย์ขึ้นสวยมาก ถึงแม้ฟ้ายังมีเมฆดำอยู่บ้าง
แต่คุณพระอาทิตย์ก็โผล่มาทักทายเราสมกับที่มารอตั้งแต่เช้ามืด
เช้านี้ลมแรงไม่แพ้เมื่อวาน แต่หนาวกว่ามาก
นี่คือสภาพแม่และเด็กจิ๋ว
หลังจากที่ปากม่วงไปเมื่อวาน วันนี้เตรียมพร้อมเต็มที่ ยืมผ้าห่มนวมมาจากบ้านป้า Lynne ด้วย
แม่ต้องอุ้มไปด้วย ห่อผ้าห่มไปด้วย จะมีอะไรลำบากไปกว่านี้มั้ยอ่า…คือ…มันมองไม่เห็นทาง
เราใช้เวลาถ่ายรูปกันอยู่ตรงนี้จนเต็มอิ่ม
ทั้งวิวและบรรยากาศมันมหัศจรรย์จริงๆ แค่หินที่ถูกคลื่นซัดกัดกร่อน
ทำไมมันสวยงามและโด่งดังไปทั่วโลกได้
ถ้าได้ไปอยู่ตรงนั้นจริงๆก็จะรู้ เป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ได้ ฟิน…
ออกจาก 12 Apostles กลับมาทานอาหารเช้าที่บ้านป้า Lynne
อย่างที่บอกว่าบ้านป้าบริเวณกว้างขวางมาก ด้านหลังวิวงามมากอีกต่างหาก
บ้านป้าจะเป็นทรงยาวๆ ห้องโถงอยู่ตรงกลาง ปีกซ้ายเป็นส่วนที่ป้ากับลุงอยู่ ปีกขวาทำเป็น B&B
อาหารเช้าที่ป้าเตรียมไว้เลิศเลอมาก ไม่ได้มากมาย แต่มีครบครันและมีคุณภาพ จานนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง
จริงๆยังมี Toast ชา กาแฟ น้ำส้ม นม โยเกิร์ต ผลไม้สด ดีมาก ชอบบ้านป้ามากที่สุดเลยค่ะ
เราจากป้า Lynne มาด้วยความอาลัย มีกอดกันหลายรอบ ประทับใจป้ามาก
คือป้าทำด้วยใจจริงๆ ไม่ได้สักแต่ว่าทำ B&B ให้ใครไม่รู้มานอน
เราบอกป้าว่าจะกลับมารีวิวบ้านป้าให้นักท่องเที่ยวรู้จักนะ ป้ายิ้มใหญ่
ออกจากบ้านป้า Lynne มานิดเดียว เราก็แวะ The Great Ocean Road Wild Life Park
เราเห็นที่นี่ตั้งแต่เมื่อวานละ เล็งไว้ว่าจะมาแวะให้เด็กจิ๋วดูจิงโจ้ และสัตว์ท้องถิ่นของออสเตรเลีย อื่นๆด้วย
เพราะตั้งแต่มา เราเห็นแค่วัลลาบีโดดึ๋งๆ แบบไกลๆ อยู่ในทุ่งข้างทางที่ Tasmania 2 ตัว
แล้วก็ซาก Possum หรืออะไรซักอย่างเยอะมาก แบนติดถนนอยู่
กะจะแวะแป๊บเดียว เพราะจุดหมายปลายทางวันนี้คือ Adelaide 700 กิโลจากจุดนี้
2 รูปนี้คือ วัลลาบี (Wallaby)
รูปนี้คือจิงโจ้ (Kangaroo) เราไม่สามารถแยกแยะวัลลาบีและจิงโจ้ได้ หน้าตาเหมือนกันมากอ่ะ
แต่ลองมาค้นข้อมูลดู เค้าบอกว่าจิงโจ้จะตัวใหญ่กว่าวัลลาบี เออ..ก็จริงนะ จิงโจ้ตัวใหญ่กว่า
แต่ถ้าจิงโจ้เด็กหละ…อืม…งง
ที่ Wildlife Park แห่งนี้นอกจากจะมี วัลลาบี และจิงโจ้แล้ว
ก็ยังมี วอมแบต กวาง หมาดิงโก้ อัลปาก้า ม้า และไก่ ให้ดูอย่างละนิดหน่อย
จะว่าดีมั้ย ก็คิดว่าธรรมดา สถานที่กว้างขวางดี ให้สัตว์อยู่กันอย่างธรรมชาติ แต่มีสัตว์ไม่มาก
ถ้าใครไม่มีเวลาไปแวะสวนสัตว์ดังๆ มาแวะที่นี่ก็ถือว่าไม่ได้เลวร้ายอะไร
จุดต่อมาที่แวะคือ Lock Ard Gorge คลื่นแรงมากๆ
London Bridge ที่ในอดีตจะมี 2 โค้ง สามารถเดินลงไปปลายสุดได้
แต่เมื่อ 20 กว่าปีมาแล้วอยู่ๆโค้งด้านในก็ถล่มลงมา
อ่านมาจากในหนังสือว่า ตอนที่หัก มีนักท่องเที่ยวติดอยู่ที่อีกฝั่งนึงด้วย
เจ้าหน้าที่ต้องเอาเฮลิคอปเตอร์ไปช่วยออกมา
จุดนี้เรียกว่าอะไร จำไม่ได้แล้วอ่ะค่ะ
Bay of Islands
ตอนเย็นๆ เราผ่านเมือง Mt.Gambier แวะดู Blue Lake ซะหน่อย
สวยมั้ย…ก็โอเค ดูน่ามหัศจรรย์ดี เป็นทะเลสาบสีน้ำเงินบนปากปล่องภูเขาไฟที่สงบแล้ว
เราเดินรอบๆ Blue Lake ครึ่งรอบ ฝนก็กระหน่ำลงมา ได้เวลาขับรถยาวๆ กันต่อแล้ว
เราขับรถกันยาวๆเลย ทิวทัศน์ข้างทางจะดูแห้งแล้งๆ ออกแนว ทะเลทรายๆ หน่อยๆ
บางช่วงก็เป็นพื้นที่ปลูกองุ่นทำไวน์ เราก็จะเห็นไร่องุ่นแบบเยอะมากมาย สุดลูกหูลูกตา
แต่วิวส่วนใหญ่ที่เห็นจะเป็นสีนี้
กว่าจะถึงจุดหมายปลายทางที่เมือง Adelaide ก็เลยสามทุ่มแล้ว พรุ่งนี้เช้าก็จะกลับบ้านแล้ว
จบการเดินทางท่องเที่ยวออสเตรเลีย 7 วันของเด็กจิ๋วด้วยความประทับใจ
ความจริงมีเรื่องน่าเบื่อมากมายตอนต่อเครื่อง Air Asia X ที่สนามบิน LCCT ด้วย
แต่ไม่บ่นดีกว่า เพราะตอนนี้เค้าย้ายไป KLIA2 สวย ใหม่ ทันสมัยมากมาย
(ฉะนั้นจงลืมเรื่องเก่าๆแย่ๆ ที่ LCCT ซะ หุหุ)
เด็กจิ๋วต้องบ้ายบายไปก่อนนะคะ ขอบคุณที่ติดตามชม และเป็นกำลังให้เด็กจิ๋วนะคะ